“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล พลาดคว้าสามแต้มในเกมประเดิมซีซั่นใหม่หลังทำได้แค่บุกไล่ตามตีเสมอ ฟูแล่ม 2-2 ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา และนี่คือ 5 ประเด็นใหญ่ที่เกิดขึ้นในเกมนี้เราลองไปดูกัน
1. ครึ่งแรกกับฟอร์มเซอร์ไพรส์ของ ฟูแลม
ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะตั้งเกมของตัวเองได้โดยที่ลูกทีมของ มาร์โก้ ซิลวา ขยันไล่บีบพื้นที่อย่างดุดันและมีระเบียบวินัยอย่างต่อเนื่อง
แม้บอลจะอยู่ในการครอบครองของ หงส์แดง มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดแต่พวกเขากลับแทบจะไม่สามารถหาโอกาสจบสกอร์อย่างถนัดถนี่ได้โดยมี ชูเอา ปาลินญา มิดฟิลด์ทีมชาติโปรตุเกส แข้งใหม่ถอดด้ามของเจ้าถิ่นที่เพิ่งย้ายมาจาก สปอร์ติง ด้วยมูลค่าราว 20 ล้านปอนด์รับบทเด่นกลายเป็นแข้งที่เอาชนะในการดวลกันมากที่สุด (5 ครั้ง) และเอาชนะในการเข้าปะทะมากที่สุด (4 ครั้ง) ในครึ่งแรก
ทำนบเกมรับของทีมเยือนมาแตกเอาในนาทีที่ 32 เมื่อการขึ้นเกมที่กราบขวาของ ฟูแลม เอาชนะทั้ง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลายเป็น อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ขึ้นโหม่งประตูขึ้นนำในที่สุด
2. มิโตรวิช ไม่ได้มาเล่นๆ
ศูนย์หน้าทีมชาติ เซอร์เบีย เจ้าของรางวัลดาวซัลโวสูงสุดลีก แชมเปี้ยนชิพ 2 สมัย (2019/20 และ 2021/22) ถูกประเมินด้วยสายตาว่าดีเกินไปสำหรับลีกรองเมืองผู้ดี แต่ไม่ดีพอสำหรับการวาดลวดลายบน พรีเมียร์ลีก แต่ความมุ่งมั่นที่ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช แสดงให้เห็นในเกมนี้ราวกับจะตอกกลับเสียงวิจารณ์เหล่านั้น
มิโตรวิช จบ 90 นาทีที่ คราเวน คอตเทจ ด้วยสถิติเอาชนะลูกกลางอากาศมากที่สุดในสนาม 10 ครั้งและทำ 2 ประตูเกมนี้ พา ฟูแลม กลายเป็นทีมที่รอดพ้นจากความปราชัยต่อ ลิเวอร์พูล ในเกมนัดเปิดฤดูกาลสำเร็จเป็นทีมแรกนับตั้งแต่ที่ วัตฟอร์ด เคยทำได้ในปี 2017
หากนับรวมสถิติเกมลีกติดต่อกันจากซีซันก่อนใน แชมเปี้ยนชิพ เจ้าตัวจะยิงไปทั้งหมด 45 ประตูจากการลงสนาม 45 นัดเข้าไปแล้ว
3. นูเญซ เสริมมิติในแนวรุก
ดาร์วิน นูเญซ ถูกเก็บไว้บนม้านั่งสำรองก่อนที่จะลงสนามแทนที่ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน ในครึ่งเวลาหลัง กองหน้าทีมชาติ อุรุกวัย ทำให้มิติในเกมรุกของ ลิเวอร์พูล เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
บอลที่แดนสุดท้ายของ หงส์แดง กลายเป็นการโจมตีอย่างมีเป้าหมายเพื่อจบสกอร์ ต่างจากการมี ฟิร์มิโน ที่มักถูกใช้ประโยชน์เพื่อการพักบอลประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม แนวรุกรอบตัว นูเญซ จะตั้งหน้าปล่อยบอลให้กับเจ้าตัวทันทีเมื่อเห็นเขาอยู่ในพื้นที่อันตราย ก่อนที่จะกลายเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เปิดให้เจ้าตัวแท็ปอินติดๆ กัน 2 ครั้งและกลายเป็นประตูตีเสมอให้ทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในที่สุด
Cr.soccersuck