ทีมชาติบราซิลไม่เคยแพ้ทีมใดฟุตบอลโลกเกิน 3 ลูกเลยนับตั้งแต่พวกเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ในปี 2014 ทีมที่พวกเขาเชื่อว่าดีพอที่จะบันดาลแชมป์โลกสมัยที่ 6 กลับถูก เยอรมนี ยิงเละเทะด้วยสกอร์ 1-7
ก่อนจะเกิดเกมที่เรียกว่า “แมตช์อัปยศ” บราซิล มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?
ในบ้านต้องแชมป์
ฟุตบอลโลก 2014 คือหนึ่งในฟุตบอลโลกที่ชาวบราซิลจดจำไม่มีวันลืม พวกเขาคือชาติที่เป็นแชมป์โลกมากที่สุดถึง 5 สมัย และเมื่อทัวร์นาเมนต์ปี 2014 มาถึง พวกเขาก็อยากจะทำในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำได้ นั่นคือการฉลองแชมป์โลกในบ้านของตัวเองซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเมื่อครั้งแรกที่บราซิลเป็นเจ้าภาพในฟุตบอลโลกปี 1950 พวกเขาแพ้ให้กับ อุรุกวัย 1-2 ในเกมสุดท้ายของรอบตัดสินแชมป์ ซึ่งเป็นนัดที่ส่งให้ทีมจอมโหดคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2
นั่นคือความหลังฝังใจของชาวบราซิลที่เล่ากันมารุ่นสู่รุ่น โดยในนัดชิงชนะเลิศปี 1950 ที่สนามมาราคาน่า นั้นมียอดผู้เข้าชมที่บันทึกได้ถึง 173,850 คน … ไม่มีเกมฟุตบอลเกมไหนบนโลกนี้อีกแล้วที่สามารถมีผู้ชมเข้าไปชมเกมในสนามมากขนาดนั้น
เมื่อฟุตบอลคือชีวิตของชาวบราซิล การที่พวกเขาได้เป็นเจ้าภาพในปี 2014 จึงถือว่าเป็นโอกาสสำคัญสุด ๆ เพราะนอกจากเรื่องฟุตบอลที่บราซิลไม่เคยยอมใครแล้ว ยังมีเรื่องการเมืองและการต้องสู้กับเสียงวิจารณ์ว่าการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะบราซิลทุ่มงบประมาณไป 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีเงินจำนวนไม่น้อยที่หมดไปโดยไม่จำเป็นจากการคอรัปชั่นของนักการเมือง
อีกทั้งยังมีนักเศรษฐศาสตร์ออกมาวิจารณ์ถึงเรื่องการเป็นเจ้าภาพครั้งนั้นว่าเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย เพราะถึงแม้จะเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาที่บราซิล แต่ผู้ได้รับประโยชน์ไม่ใช่หน่วยธุรกิจท้องถิ่นของชาติเจ้าภาพ เพราะฟีฟ่ามีสปอนเซอร์ของตัวเองอยู่แล้วทั้ง แมคโดนัลด์, โคคา-โคล่า, บัดไวเซอร์ เบียดบังแบรนด์ท้องถิ่นไม่ให้เปิดตัวไปสู่คนที่เข้ามาเชียร์ถึงบราซิลได้ ขณะที่ค่าโรงแรม ค่ารถเช่า และเงินส่วนใหญ่จะไปเข้ากระเป๋าของนักธุรกิจระดับบนของประเทศทั้งนั้น
ปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจเหล่านี้ถูกพูดถึงตลอดหลังจากที่บราซิลได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ บ้างก็ว่าควรเอางบประมาณทั้งหมดมาดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนมากกว่า แต่ที่สุดแล้วเมื่อได้รับเลือกแล้วก็มีแต่จะต้องเดินหน้าต่อไป เพราะเราไม่มีทางรู้และคาดเดาได้เลยว่าเมื่อวันแข่งมาถึงจริง สิ่งที่หลายคนกังวลจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวบราซิลทุกคนสามารถคาดเดาได้คือ หากพวกเขาสามารถจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการเป็นแชมป์ในบ้านของตัวเอง มันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์และเป็นเทศกาลการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ยิ่งที่สุดยิ่งกว่างานคาร์นิวาลครั้งไหน ๆ
ความสำเร็จของฟุตบอลจะช่วยทำให้พวกเขาลืมดราม่าที่เคยเกิดขึ้น เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันฟุตบอลคือกีฬาที่สร้างความสามัคคีให้กับคนในชาติ ทุกครั้งที่บราซิลลงแข่งขันในบ้านตัวเองแฟนบอลของพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสนับสนุนทีม ไม่มีการแบ่งแยกอายุ เชื้อชาติ อัตลักษณ์ทางเพศ วัฒนธรรม รวมถึงสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมใด ๆ … เรียกง่าย ๆ ว่าเมื่อเกมฟุตบอลเริ่มขึ้นมันจะเหมือนเป็นการจุดประกายทางจิตวิญญาณให้กับชาวบราซิลในแบบที่ไม่มีสิ่งไหนเทียบได้
ดังนั้นฟุตบอลโลก 2014 ท่ามกลางดราม่ามากมายต้องจบด้วยตำแหน่งแชมป์เท่านั้น สำหรับผู้คนที่นี่ไม่มีเป้าหมายอื่นอีกแล้ว ดังที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี กุนซือของทีมได้บอกก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มว่า “มีเป้าเดียวที่เรามองสำหรับทัวร์นาเมนต์นี้ นั่นคือตำแหน่งแชมป์”
เมื่อคาดหวังย่อมกดดัน
สมาคมฟุตบอลบราซิลรู้ดีว่าความคาดหวังนั้นมากขนาดไหน พวกเขาเริ่มเตรียมทีมชุด “ฟุตบอลโลก 2014” ก่อนที่ทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม 2 ปี เริ่มจากการล้มกระดาน ปลดกุนซือเก่าอย่าง มาโน่ เมเนเซส ออกจากตำแหน่งในปี 2012 เพราะ เมเนเซส พยายามเปลี่ยนแปลงทีมเป็นทีมเลือดใหม่แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จและมีผลงานไม่ดีในเกมอุ่นเครื่อง และในโคปา อเมริกา ปี 2011 บราซิล ก็ต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้ให้กับ ปารากวัย ในการดวลจุดโทษ แถมยังไม่สามารถนำทีมแซมบ้าชุด U-23 คว้าเหรียญทองโอลิมปิก ในศึกลอนดอน 2012 ได้อีกด้วย
แม้ เมเนเซส จะเป็นกุนซือคนแรกที่ให้โอกาส เนย์มาร์ ในการเล่นกับทีมชุดใหญ่ แต่นักเตะคนอื่น ๆ ที่เขาเลือกติดทีมกลับเป็นนักเตะที่ไม่ถูกใจแฟนบอลและสื่อ เช่น การเลือก รามิเรส กองกลางจาก เชลซี เป็นตัวหลักของทีม การให้โอกาสนักเตะที่ผลงานยังไม่ชัดเจนทั้ง เปาโล เอนริเก้ กานโซ่, เอเลียส, ฌาดสัน, ซานโดร และ อังเดร ซานโตส โดยแฟนและสื่อเชื่อว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่านักเตะเหล่านี้
ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลือแค่ 2 ปี จึงมีการลงความเห็นว่ามีคนเดียวเท่านั้นที่จะมาจัดการทุกอย่างภายในระยะเวลาอันสั้น คน ๆ นั้นคือ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ อดีตกุนซือทีมชาติบราซิล ชุดแชมป์โลกสมัยที่ 5 ในปี 2002 จุดเด่นของสโคลารี่คือเป็นคนที่เข้าใจระบบและรู้จักเลือกนักเตะมาเพื่อใช้งานสำหรับการแข่งขันแบบทัวร์นาเมนต์ อีกทั้งยังมีแทคติกที่เหมาะกับฟุตบอลแบบทัวร์นาเมนต์ นั่นคือเชื่อมั่นในความสมดุลเกมรับและเกมรุก ซึ่งวิธีการดังกล่าวนั้นยากมากสำหรับทีมชาติอย่างบราซิลที่เต็มไปด้วยศิลปินลูกหนังมากมาย
สโคลารี่ เป็นโค้ชที่รวมทีมให้เป็นหนึ่งเดียวได้ดี โดยในปี 2002 เขาเองก็เคยได้รับคำชมว่าเขาทำให้บราซิลชุดนั้นถูกเรียกว่า “สโคลารี่ แฟมิลี่” ที่ส่วนใหญ่นักเตะที่เขาใช้จะเป็นนักเตะแบบผสมผสานกันทั้งกลุ่มแข้งหน้าเก่าที่เป็นกระดูกสันหลังและกลุ่มนักเตะหน้าใหม่ ๆ ที่แฟนบอลอาจไม่คุ้นชื่อ
แต่อย่างไรเสีย สโคลารี่ ก็ทำงานของตัวเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นับตั้งแต่คุมทีมชาติบราซิลในปี 2012 จนถึงฟุตบอลโลก 2014 บราซิลลงสนามไปทั้งหมด 25 เกม และแพ้เพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดคือการพาทีมคว้าแชมป์คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ 2013 ด้วยด้วยฟอร์มที่สวยงามและทรงประสิทธิภาพ บราซิลชนะทุกเกมในทัวร์นาเมนต์นั้น ยิงไป 14 ประตูจาก 5 เกม
เหนือสิ่งอื่นใดนักเตะอย่าง เนย์มาร์ แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่พึ่งพาได้ในทีมชุดนี้ ส่วนตัวอื่น ๆ อย่าง ออสการ์, ฮัลค์ และ ลูคัส มูร่า ก็ได้รับคำชมไปพร้อม ๆ กัน เรียกได้ว่าเป็นการคว้าแชมป์คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ แบบหมดจดและทำให้คำวิจารณ์เรื่องตัวนักเตะแทบจะหายไปเลย เพราะนักเตะที่แฟนบอลมองว่าไม่ดีพออย่าง โช อัลเวส (ดาวซัลโวอันดับ 3 ของทีม), เฟร็ด (ดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์) และ เปาลินโญ่ (ติดทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์) ก็โชว์ฟอร์มสมราคาทีมชาติในทัวร์นาเมนต์นั้น
บราซิล เดินหน้าเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2014 ในฐานะเจ้าภาพและทีมที่ฟอร์มดีที่สุดในรอบ 2 ปีหลังสุด เหนือสิ่งอื่นใดทุกบ่อนพนันเปิดราคาให้พวกเขาเป็นเต็ง 1 ของทัวร์นาเมนต์ เนื่องจากช่วงอุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลกพวกเขาถล่ม ฝรั่งเศส ไป 3-0 ชนะ โปรตุเกส ไปอีก 3-1 และบุกไปชนะ อังกฤษ ที่เวมบลีย์อีก 2-1 อีกด้วย
ไม่ทันได้เตรียมใจ
บราซิล เริ่มต้นฟุตบอลโลก 2014 แบบคนมือขึ้น รอบแบ่งกลุ่มเก็บ 7 แต้มจาก 3 เกม แนวรุกเล่นกันยอดเยี่ยมยิงกันไป 7 ประตู และ เนย์มาร์ ก็เป็นที่พึ่งของทีมได้จริง ๆ ด้วยการหวดไป 4 ลูกในรอบแบ่งกลุ่ม ถึงเวลานั้นหากใครยังจำกันได้ แฟนบราซิลเกิดอาการฟุตบอลฟีเวอร์กันอย่างน่าเหลือเชื่อ มีการจับเด็กน้อยมาแต่งคอสเพลย์เป็นนักเตะในทีมชาติ มีการฉลองชัยชนะแต่ละเกมทั่วทุกมุมเมือง
นักเตะอย่าง เนย์มาร์ กลายเป็นเหมือนกับพระเจ้าของชาวบราซิล ทุกสัมผัสของเขาสร้างความแตกต่างได้ และทีมก็มีสปิริตทีมที่ยอดเยี่ยมนำโดย แม่ทัพอย่าง ติอาโก้ ซิลวา, ดานี่ อัลเวส, มาร์เซโล่, ดาวิด ลุยซ์ รวมถึงตัวของ เนย์มาร์ เอง พวกเขามีคลิปวิดีโอตลก ๆ เผยแพร่มาให้แฟนบอลได้ติดตามเป็นระยะ ๆ เรียกได้ว่าพวกเขาแทบจะอยู่ในสถานะ “ไร้ความกดดัน” เพราะบรรยากาศในทีมชาติบราซิลตอนนั้นสมบูรณ์แบบและพร้อมเป็นแชมป์อย่างที่สุด
ทางเลือกเดียวที่ซูนิก้าจะทำได้ตอนนั้นคือต้องตัดฟาวล์ เพราะเกมยังตามหลังแค่ลูกเดียว หากเนย์มาร์ผ่านเขาไปได้ก็อาจจะยาวถึงการเสียประตูที่จะดับฝันโคลอมเบียได้ ดังนั้นซูนิก้าจึงไม่รอช้าตัดเกมแบบเด็ดขาดและรุนแรงเกินไป เขาสับศอกลงกลางหลังของเนย์มาร์ ทิ้งให้นักเตะเบอร์ 1 ของบราซิลลงไปนอนกลิ้งด้วยความเจ็บปวดและไม่สามารถเล่นต่อไหว จนต้องเปลี่ยนตัวออกด้วยการเอา เฮนริเก้ ลงมาแทน
เมื่อฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีม เยอรมนี สามารถตีตราแชมป์โลกสมัยที่ 4 ของพวกเขาได้สำเร็จหลังเอาชนะ อาร์เจนตินา 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ขณะที่สำหรับ บราซิล ความพ่ายแพ้ในเกมนั้นคือนัดอัปยศที่ยังคงถูกพูดถึงจนทุกวันนี้ ความพ่ายแพ้ 1-7 นำมาซึ่งการวิจารณ์ต่อเนื่องถึงการพยายามเป็นเจ้าภาพที่ไม่ได้ผลการแข่งขันตามที่ต้องการ เรื่องราวของตัวเลข การเมือง และเศรษฐกิจ ถูกนำมาถกกันอย่างร้อนแรงอีกครั้ง … และนั่นคือราคาของการเป็นผู้แพ้
Cr.soccersuck